เที่ยวธุดงค์ ท่อนที่ 3 ท่อนสุดท้าย

เที่ยวธุดงค์ ท่อนที่ 3 ท่อนสุดท้าย

331
0
แบ่งปัน

****** เที่ยวธุดงค์ ท่อนที่ 3 ท่อนสุดท้าย *****

หวัดดีทุกคน มาๆๆๆๆคุยกัน วันนี้มาโม้เรื่องผีที่มาไล่ข้าต่อนะ ก๊อกๆๆๆๆๆๆๆ ไปไหนหมด…

ต้องเช็คเสียงก่อน คนน้อยๆจะได้เบี้ยวซะ เอ๊าาา แค่นี้ก็แค่นี้ เราหนีไปฟังอีกห้องไม๊ เดี๋ยวพาไป มาๆๆๆๆ ฟังต่อๆๆ

เมื่อความสว่างจ้าปรากฏ พลันก็มีอสูรกายร่างทะมึนก่อตัวขึ้น ปรากฏอยู่ตรงหน้า มันชี้หน้าและกล่าวว่า ไป๊… แกจงออกไป ….ไปให้พ้นซะจากที่นี่..!!

ดู๊ดู ไอ้ผีบ้า จู่ๆก็มาระรานอัปเปหิเราซะนี่ แต่ท่าทางมันดุเอาเรื่อง มันคงโดนแตนต่อยกระโปกมา มันตะโกนก้องว่า

ที่ตรงนี้ เป็นที่ข้า แก…จงออกไปซะ ไม่เช่นนั้น…ข้าจะฆ่าแก..!!! ข้าจ้องหน้ามันเฉยๆ ตัวมันดูดำทะมึน สูงใหญ่โต แค่มันดีดซักเผล๊วะ ข้าคงได้จุกแอ๊กๆ

เดี๋ยวก่อน..เดี๋ยวก่อน เดี๋ยวแกเจอดี ไอ้ผีบ้า ข้ากระหยิ่มใจเพราะข้ามีคาถาที่เคยใช้ได้ผลกับมันมาแล้ว พาหุง กะชินบัญชรเดี๋ยวเจอกัน

ตอนนั้น ใจมันมีอาการสั่นๆ จึงนึกบทมนต์ไม่ออก แต่มันมีบทอื่นเสริมขึ้นมา ทั้งๆ ที่ไม่เคยสวดหรือเคยได้ยินมาก่อน และมันระลึกได้ว่า สวดได้ และเป็นบทสวดไล่ผีที่เคยใช้มาได้ผลซะด้วยในอดีตชาติ แต่มันไม่มั่นใจเท่าบทพาหุง และชินบัญชร

เรื่องของเรื่องก็เพราะว่า เมื่อสามคืนก่อนข้าใช้ได้ผลมาแล้ว เมื่อเคยใช้ได้ผล มันก็บันทึกความมั่นใจ เพียงแต่นึกเท่าไหร่ ข้าก็นึกไม่ออก

ข้าเผชิญจ้องหน้านึกคาถาอยู่นาน เจ้าอสูรกายมันก็ยืนชี้หน้าค้างอยู่เช่นนั้น ที่สุด ข้าก็นึกถึงการหุงข้าว พอสัญญาว่าหุงข้าวเท่านั้น

ข้าก็นึกถึงบทพาหุงออก เพราะมันหุงๆ เหมือนกัน ฮะฮ่า…งี้ก็ได้เสีย เจ้าอสูรกายเอ๋ย ข้าก็เริ่มเลย

พาหุง ฯ…. ข้าก็ท่องว่าไปเรื่อย เดี๋ยวมึงเสร็จกูแน่ ไม่ร้องโอดโอยก็คงมีการสลายร่างกันบ้างแหละวะ

สวดไป เพ่งมันไป มันก็ยืนอยู่เฉย สงสัยเสียงข้าคงไม่ขลัง จึงกำหนดเป็นเสียงต่ำๆ ทุ้มๆ ทำหน้าเครียดๆ ดูเข้มขลังและเพิ่มความศักดิ์สิทธิ์อีกเป็น 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

มึงเสร็จกูแน่..!! เดี๋ยวจะวิ่งชนด้วยคาถาแรงสูง เอาให้จุกเลยเจ้าอสูรกายกิ๊กก๊อก

สวดไปซักพัก มันก็นิ่งเฉย เอ…? มันยังไงแล้วเนี่ย ไอ้ผีนี่ ลุกขึ้นเตะปากซะดีไม๊..!! พาหุงจบไปแล้ว จะซ๊ำ มันก็คงเฉย จึงขึ้นบทชินบัญชรต่อ

แต่ว่า…ความวิตกที่เห็นผีมันเฉยก็เลยนึกไม่ค่อยออก มันไปค้างอยู่ตรงท่อนแรกขึ้น ข้านึกอยู่นานก็นึกไม่ออก จู่ๆ เจ้าอสูรกายบ้านี่ มันก็บอกข้ามาว่า

” ชยาสทาพุทธา ฯ” มันขึ้นนำให้ข้าเลย ข้าเลยนึกขึ้นมาได้ ว่า ชะยาสะนากะตาพุทธา ฯ ข้าก็ท่องขึ้นไปเรื่อย

ท่องไปๆ ไอ้ห่า..!! เจ้าผีบ้านี่ มันก็เฉย มันเฉยซะจนข้านี่ ท่องไม่ค่อยถูก จึงหยุดท่องและถามมันไปว่า

นี่..แกไม่กลัวบทมนต์ที่ข้าท่องไล่แกเลยรึไง มันบอกว่า มันไม่กลัว ตอบแล้วมันก็นิ่ง..

ข้าจึงถามไปว่า อ้าว..แล้วเมื่อวันก่อน ทำไมจึงหยุดกวนข้าและหนีไป เพราะข้าท่องมนต์บทนี้ล่ะ รึว่า ไม่ใช่แก หรือแกจำไม่ได้แล้ว

มันบอกว่า เมื่อคืนก่อน ก็มันนี่แหละ มาเตือนให้ออกไป และที่หยุดและหายไป เป็นเพราะข้าไล่ ไม่ใช่เป็นเพราะข้าสวดมนต์ไล่

อ้าวววว…ข้าไปไล่ตอนไหน ข้าก็สวดมนต์นี่บทนี้แหละ ที่ทำให้ทุกอย่างสงบ มันยิ้มชวนเเสยะ บอกว่าบทมนต์ที่สวด มันไม่มีผลต่อมัน แต่จิตที่เจตนาไล่นั้น ทำให้มันต้องไป

ข้าก็บอกว่า ก็นี่ไง ข้าก็สวดมนต์ไล่อยู่ แต่มันบอกว่า ข้าไม่ได้มีจิตไล่ ข้าแค่สวดมนต์ แถมนึกไม่ออก และสวดผิด สำเนียงไม่ถูกต้องอีกต่างหาก มันไม่กลัว บทมนต์ที่ข้าสวด

มันบอกว่า ชยาสธาพุทธา ฯ หมายถึงชาวพุทธที่มีศรัทธาต่อมหาเจดีย์ที่พุทธคยา เป็นคำกล่าวมาแต่โบราณ มันก็กล่าวได้ ไม่เห็นจะต้องมากลัวอะไรกับคำกล่าว แล้วมันก็ท่องให้ข้าฟังเป็นตัวอย่าง

ข้าฟังแล้ว ก็..เออว่ะ มันฟังแล้วเพราะดี ไม่เหมือนกับคำที่ข้าจำมาท่องซักเท่าไหร่ คนละสำเนียงเสียงเลย ภาษาโบราณ เป็นเช่นนี้เอง..

ข้าจึงถามไปว่า งั้นนี่..แกมาไล่ข้าทำไม ข้าไปกวนอะไรแก มันบอกว่า ที่ๆ ข้านั่งข้านอนนี้ เป็นบ้านมัน เป็นที่อยู่ของมัน ข้ามาแย่งที่ของมัน ทำให้มันอยู่ไม่ได้

ข้าบอกว่า อ้าว..ก็ข้าไม่รู้ และข้าก็แผ่เมตตาจิต แล้วนี่ ทำไมจึงมารังควาญอีก มันบอกว่า มันไม่ได้มารังควาญ แต่มันไม่อยากให้ข้าอยู่นาน มันกลัวข้าจะยึดที่ที่มันอาศัย มันกลัวอย่างนั้น

ข้าจึงบอกว่า แล้วจะให้ข้าไปอยู่ตรงไหน ในเมื่อตรงนี้ มันเหมาะที่สุด สำหรับการฝึกปฏิบัติ มันบอกว่า ก็เพราะความเหมาะ และข้าชอบนั่นแหละ

ทำไห้มันเกิดความวิตกว่า ข้าจะอยู่นาน มันจึงบอกให้ข้า ออกไปซะ จากป่านี้ เพราะว่า ข้าอยู่ตรงไหน ใครๆ เขาก็เดือดร้อน

กระแสแห่งพลังมันรุนแรง มันทิ่มแทงภาวะแห่งจิตเขาจนอยู่ไม่ได้

นี่..เขาก็ถอยออกไป เพื่อให้ข้าได้อยู่อาศัยหลับนอน แต่นี่ตั้งหลายวันแล้ว ข้าก็ไม่เสือกออกไปซะที จนมันต้องมาเตือน

แล้วข้าดันมาไล่มันอีก จะไม่ให้มันโกรธได้ไง ก็ตรงนี้เป็นบ้าน เป็นที่สถิตย์อยู่ของมันแท้ๆ และมันก็อยู่มานานกว่า 2,000 ปีแล้ว

แถมเคยทะเลาะกะข้ามากว่า 500 ครั้ง มันไม่ชอบข้า แต่ก็ไม่รู้จะทำไงดี เพราะข้านี้วนเวียนมาที่ตรงนี้เรื่อย

แต่ครั้งนี้ มันเกรงว่า ข้าจะยึดสถานที่นี้ เพราะเหตุในใจ มันแสดงผลอยู่ ข้าจึงบอกไปว่า ไอ้เพื่อนเอ๋ย..

อันตัวข้านี้ ไม่ได้มารุกรานใคร ข้ามาตรงนี้หรือที่ไหนก็เพื่อมาแสวงหาโมกขธรรม แต่เป็นเพราะกายข้าหยาบ ข้าจึงไม่รู้และทราบว่า ผลแห่งการกระทำ มันไปรบกวนกายที่ละเอียดอย่างเช่นพวกท่าน

อดีตที่ผ่านมา ข้าเองก็จำไม่ได้หรอกว่า เคยมาที่นี่กี่ครั้ง แต่ชีวิตนี้ ในอัตภาพนี้ ข้าเพิ่งมาครั้งนี้แค่ครั้งแรก ใจข้านี้ไม่มีเจตนาจะยึดสถานที่ตรงนี้ หรือสถานที่ตรงไหน

ข้านี้ ใกล้จะอิ่มเต็มทีแล้ว มันไม่ต้องการแสวงหาอะไรอีกมากมายนัก ที่มันเวียนมาครั้งนี้อาจจะเป็นผลแห่งวิบาก เพื่อให้เรามาพบเจอกันเหมือนทุกครั้งที่ท่านกล่าวมา

ว่า เราเจอกันมากว่า 500 ครั้ง ครั้งก่อนๆ ข้าไม่รู้ แต่ครั้งนี้ ขอทุกบุญพึงสำเร็จแก่ท่าน และข้าขอขมาลาโทษ รวมไปถึงครั้งก่อนๆ ด้วย ที่อาจไปล่วงเกินท่านทั้งทางกายก็ดี วาจาก็ดี ใจก็ดี เจตนาก็ดี

ไม่เจตนาก็ดี สมควรก็ดี ไม่สมควรก็ดี ต่อหน้าก็ดี ลับหลังก็ดี ตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ดี ขอท่านจงได้โปรดงดโทษผ่อนผัน อโหสิกรรมให้แก่ข้านี้ด้วยเถิด

บุญกุศลใดๆ ที่ข้าทำไว้ดีแล้ว สมบรูณ์แล้ว บริสุทธิ์หมดจดดีแล้ว ขอผลบุญนั้น จงสำเร็จแก่ท่าน ผู้ที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้านี้ด้วยเถิด..

แค่นั้นแหละ…ร่างอสูรกายที่ดำทะมึน สูงใหญ่ ก็ย่อลงมาเปลี่ยนไปเป็นชายหนุ่มร่างงาม แต่งตัวแบบคนโบราณในวังทันที

เขาก้มลงกราบ และสาธุคุณ กล่าวว่า ขอพระคุณเจ้า อย่าได้กราบขอขมาต่อตนเลย มันจะเป็นบาปเป็นกรรมต่อใจเขา เขาแค่ลองใจเพื่อนฝูงที่หายไป แล้วไปมีกายใหม่

การว่ากล่าวทางวาจานี้ ก็ทำให้เขาสะท้านสะเทือนไปจนถึงขั้วหัวใจอยู่แล้ว จิตที่สว่างไสว ผิดแปลกไปจากครั้งก่อนๆ ทำให้เขา หวั่นใจไม่ได้

เขาไม่ได้มาสู้หรือมาไล่ แต่เขาแค่อยากแสดงลองภูมิดูว่า เพื่อนที่เขารักและห่วงใย อันเป็นดวงจิตดวงนี้ จะมาฟาดฟันกับเขาอย่างที่เคยประลองกำลังกันไหม

เพราะธรรมชาติของจิตข้า พอผัสสะแล้วมักกระโจนเข้าใส่ แบบไอ้พวกบ้าดีเดือด และเป็นเช่นนี้ มาหลายต่อหลายพันชาติ แต่..ครั้งนี้ ทำไม..!!

เขาแปลกใจ และไม่คิดว่า จิตของข้าจะหนีห่าง และจากเขาไปไกล เกินกว่าที่เขาจะมาเทียบเคียงได้อีกแล้ว ทั้งๆที่เพิ่งจากห่างกันไปอยู่หยกๆ และตั้งจิตอธิษฐานกันไว้ว่า เราจะไปเกิดร่วมรูป ในยุคพระศรีอาริยเมตไตรย..

เขาขอกราบและขอบคุณในไมตรีที่แผ่อุทิศผลบุญอันยิ่งใหญ่ให้เขาตรงนี้ เขารอข้ามากว่า 400 ปี ครั้งนี้ เขาสุขใจและอิ่มเอิบภายในอย่างไม่คาดคิด

เขาเองเป็นรุกขเทวดาประจำอยู่ที่นี่ เป็นอิทกะของท้าวเวสสุวรรณ ดูแลและรักษาป่าแห่งนี้ หลายครั้งที่ได้กลับไปเกิดเป็นมนุษย์ สร้างกุศลและคุณงามความดี
เมื่อสิ้นชีพไป เขาก็จะกลับมาเป็นอิทกะเช่นเดิม

ด้วยวิบากจิตที่มันผูกพัน เขาขอให้ข้าอยู่เจริญภาวนาที่นี่ เขาจะอยู่ดูแลและรักษาคุ้มครองให้

ป่าแถบนี้ ไล่ไปถึงอุทัยธานี ทุ่งใหญ่นเรศวร ห้วยขาแข้ง และยาวไปตามเทือกเขา เป็นเขตแดนที่เหล่ายักษ์ ดูแลรักษา ข้าอยู่แถบนี้ ข้าจะปลอดภัยจากภัยร้าย และสัตว์ป่า

ขอเชิญอยู่เพื่อโปรดพวกเขาตามสบาย ต่อไปจะไม่มีใครมาแกล้งหยอกลองของข้าอีก เขามีความรู้สึกว่า เขากับข้าจะไม่มีโอกาสได้พบกันอีกชั่วนิรันดร์ เขารู้สึกใจหายอย่างไม่เคยเป็น

ข้าขอสาธุคุณกับเขา และพูดคุยกันอีกหลายเรื่อง ก่อนที่ข้าจะถอยจิตออกมาสู่ภาวะวิถีแห่งจิต มันเกิดความสบาย และอิ่มเอิบใจอย่างบอกไม่ถูก

ความมืดท่ามกลางป่าใหญ่ ไม่มีภัยให้ใจดวงนี้ถึงทิฏฐิแห่งความหวาดหวั่น และสะพรึงกลัวอีกต่อไป ใจมันรู้แจ้ง และได้รับการยืนยันจากเจ้าของที่ แล้วนี่ จะไม่ให้สบายใจได้อย่างไร

คืนนั้น ข้านั่งยันสว่าง จึงลุกออกมาเดินจงกรม พิจารณาธรรมตามเหตุและปัจจัย

ยามเช้ามีช้างป่ามากินน้ำที่ธารน้ำร้อน ข้านั่งมองเฉยๆ นี่มันจะพุ่งเข้ามา กระทืบตูไหมหนอ มันจากไปโดยไม่สนใจข้า

แต่มันทิ้งลูกมะกอกป่าไว้ให้ช่อหนึ่ง ข้าก็เลยล่อมะกอกป่าแสนเปลี้ยวนั้นซะฝาดลิ้น พออยู่ได้ไปอีกวัน

ข้าอยู่ที่นั้นอีกสามสี่วัน ข้าก็เดินตามน้ำกลับแพที่อยู่ ก่อนกลับก็บอกกล่าวและแผ่เมตตาจิตขอบคุณทุกท่านที่ดูแลและรักษา ก็ไม่เห็นว่า จะมีใครออกมา แสดงตัวให้ข้าเห็น

ข้าจึงพูดเองเออเอง เสร็จก็เดินจากมา ที่น่าแปลกสำหรับข้าก็คือ ข้าอยู่หลายๆ วัน โดยที่ไม่ค่อยหิวอะไรเลย

แต่พอกลับมาเห็นหลังคาแพพี่หรั่ง ข้านี้..หิวใส้แทบแตก เดี๋ยวกูจะแดกทุกอย่างที่ขวางหน้าเลยทีเดียว..!!

คืนนี้ ก็ขอลาเท่านี้ ขอความสวัสดีมีชัย จงสำเร็จแก่ทุกๆท่าน สวัสดี..

วันที่ 15 มีนาคม 2557 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง